ยาลดกรด (Antacids)
ยาลดกรดเป็นหนึ่งในยาที่ใช้กันมากที่สุดเพื่อบรรเทาอาการไม่สบายท้อง ปวดท้อง และอาหารไม่ย่อยได้อย่างรวดเร็ว ออกฤทธิ์โดยการทำให้กรดในกระเพาะเป็นกลาง ซึ่งช่วยบรรเทาอาการได้ทันที
ส่วนผสมทั่วไปในยาลดกรด ได้แก่ aluminum hydroxide, magnesium hydroxide, และ calcium carbonate โดยมีหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ด ของเหลว และเจลแบบเคี้ยว แม้ว่ายาลดกรดจะมีประสิทธิภาพสำหรับอาการที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ยาลดกรดไม่เหมาะสำหรับการรักษาปัญหาระบบทางเดินอาหารเรื้อรังในระยะยาว การใช้มากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก (เนื่องจากมีส่วนผสมของอะลูมิเนียม) หรือท้องเสีย (เนื่องจากแมกนีเซียม)
H2 Blockers
H2 blockers หรือ histamine-2 antagonists ช่วยลดปริมาณกรดที่เกิดจากกระเพาะอาหาร ใช้ในการรักษาอาการต่างๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหารและโรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease : GERD) โดยการปิดกั้นการกระทำของฮิสตามีนในเซลล์กระเพาะอาหาร
H2 blockers จะช่วยบรรเทาอาการต่างๆ และส่งเสริมการรักษาเยื่อบุกระเพาะอาหาร สารป้องกัน H2 ทั่วไป ได้แก่ ranitidine, famotidine, และ cimetidine ยาเหล่านี้สามารถรับประทานได้และมีจำหน่ายทั้งที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์และตามใบสั่งแพทย์ โดยทั่วไปร่างกายสามารถทนต่อยาได้ดี แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ และรบกวนระบบทางเดินอาหาร
Proton Pump Inhibitors (PPI)
PPI เป็นสารยับยั้งกรดที่มีฤทธิ์มากกว่า H2 blockers และมักถูกใช้สำหรับการรักษาโรคกรดไหลย้อน หลอดอาหารอักเสบ และแผลในกระเพาะอาหารอย่างรุนแรง พวกมันทำงานโดยการปิดกั้นเอนไซม์ในเยื่อบุกระเพาะอาหารที่รับผิดชอบในการผลิตกรด ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดปริมาณกรดเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาเนื้อเยื่อที่เสียหายอีกด้วย PPI ที่พบบ่อย ได้แก่ omeprazole, lansoprazole, และ esomeprazole การใช้ในระยะยาวต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ เนื่องจากอาจมีความเสี่ยง เช่น การขาดวิตามินบี 12 และการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูก
ยาระบาย
ยาระบายเป็นยาที่ใช้บรรเทาอาการท้องผูกและอำนวยความสะดวกในการขับถ่าย มีหลายประเภท แต่ละประเภททำงานแตกต่างกัน ยาระบายที่ก่อตัวเป็นกลุ่ม เช่น ไซเลี่ยม จะเพิ่มปริมาณอุจจาระและกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ น้ำยาปรับอุจจาระ เช่น ด็อกคูเซต จะทำให้อุจจาระชุ่มชื้น ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ยาระบายกระตุ้น เช่น บิซาโคดิลและเซนนา กระตุ้นให้ลำไส้หดตัว ควรใช้ยาระบายอย่างระมัดระวัง เนื่องจากการใช้ยามากเกินไปอาจนำไปสู่การขัดขวางความสามารถตามธรรมชาติของร่างกายในการถ่ายอุจจาระ
Antidiarrheal Agents
Antidiarrheal Agents ใช้รักษาอาการท้องร่วงโดยการลดการเคลื่อนไหวของลำไส้หรือเพิ่มการดูดซึมน้ำในลำไส้ Loperamide เป็นยาแก้ท้องร่วงที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ทั่วไป ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง บิสมัท ซับซาลิไซเลต (Bismuth subsalicylate) ซึ่งเป็นยาแก้ท้องร่วงอีกชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ยาปฏิชีวนะที่ไม่รุนแรง และยังสามารถใช้รักษาอาการท้องเสียได้อีกด้วย แม้ว่ายาเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ก็ไม่ควรใช้กับการติดเชื้อบางประเภทหรือเป็นเวลานานโดยไม่ปรึกษากับแพทย์
Anti-Emetics
ยาแก้อาเจียนได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันหรือลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งอาจเป็นอาการของความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารต่างๆ หรือผลข้างเคียงของการรักษาอื่นๆ ยาเหล่านี้ทำงานโดยการปิดกั้นสัญญาณไปยังสมองที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ประเภทของยาแก้อาเจียน ได้แก่ ยาแก้แพ้ เช่น เมคลิซีน สารต้านเซโรโทนิน เช่น ออนแดนซีตรอน และยารักษาโรคประสาท เช่น โปรคลอเปอราซีน มีประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษาอาการเมารถ อาการคลื่นไส้หลังผ่าตัด และอาการคลื่นไส้ที่เกิดจากเคมีบำบัด
GI Motility Agents
GI Motility Agents ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของระบบย่อยอาหาร ยาอย่างเมโทโคลพราไมด์ใช้ในการรักษาอาการต่างๆ เช่น โรคกระเพาะ ซึ่งกระเพาะอาหารจะไหลช้าเกินไป ทำงานโดยเพิ่มการหดตัวของกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหารส่วนบน ซึ่งจะช่วยเร่งอัตราที่กระเพาะอาหารจะไหลลงสู่ลำไส้ ยาเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคทางเดินอาหารอย่างรุนแรง เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารจะเคลื่อนผ่านระบบได้อย่างเหมาะสม